วิเคราะห์ก่อนเกมบอลยูโร 2020 รอบ 16 ทีมกับ 4 คู่แรก
คู่ที่ 1 เวลส์ พบกับ เดนมาร์ก วันที่ 26 มิถุนายน 2564 เวลา 23:00 น. ถ้าจะเปรียบเทียบฟอร์มและขุมกำลังก็คงไม่ต่างกันมาทั้งยุคนั้น แต่เดนมาร์มักจะทำได้ดีกว่าในรายการใหญ่ ฟอร์มการเล่นสถิติและรูปเกมให้ เดนมาร์ก เหนือ เวลส์ บุกไปคว้าชัยเข้ารอบ 8 ทีมเป็นทีมแรกแน่นอน
ฟอร์มของ เวลส์ ในรอบแบ่งกลุ่ม (เสมอกับสวิตฯ 1-1) (ชนะตุรกี 0-2) (แพ้อิตาลี 1-0) มี 4 แต้มเข้าเป็นที่ 2 ของกลุ่ม A ถือว่าผลงานไปได้แย่กับการที่อยู่กลุ่มเดียวกับอิตาลี ดูจากฟอร์มแล้วต้องบอกว่า แกเร็ธ เบล นี่คือตัวเดินเกมของจริง การจบสกอร์ของแนวรุกยังไม่คม แม้จะเล่นเกมรับได้เหนียวแน่นแต่การบุกสวนกลับไม่เป็นไปตามแผนของ ร็อบ เพจ กุนซือชาวเวลส์ แต่ยังไงก็ตามผลงานในบ้านของเวลส์ 5 เกมหลังสุดไม่แพ้ใครชนะ 3 เสมอ 2 เกม แต่นัดนี้จะไม่มี อีธาน แอมพาดู กองหลังตัวหลักที่โดนใบแดง
ฟอร์มของ เดนมาร์ก ในรอบแบ่งกลุ่ม (แพ้ฟินแลนด์ 0-1) (แพ้เบลเยี่ยม 1-2) (ชนะรัสเซีย 1-4) มี 3 แต้มเข้าเป็นที่ 2 ของกลุ่ม B ผลงานในเกมแรกต้องขาดตัวเก่งอย่าง คริสเตียน อิริคเซ่น ที่วูบหมดสติกำลังใจหายพ่ายน้องใหม่อย่างฟินแลนด์ไป เกมต่อมาสู้ได้สียิงนำก่อนแต่ก็มาเสียสมาธิครึ่งหลังโดนลงโทษไป ใครก็คิดว่าน่าจะตกรอบแต่การไปเยือนถิ่นหมีขาวนัดสุดท้าย พวดเขาก็ระเบิดฟอร์มเก่งเขี่ยทั้ง รัสเซียและฟินแลนด์ตกรอบ ฟอร์มนี่สิถึงจะเป็นเดนมาร์กตัวจริง
สปอร์ตบุ๊คออนไลน์ที่ดีที่สุด สำหรับฟุตบอลยูโร2020
คู่ที่ 2 อิตาลี พบ ออสเตรีย วันที่ 27 มถุนายน 2564 เวลา 02:00 น. อิตาลีในตอนนี้ทั้งแข็งแกร่งในแนวรับ เก็บคลีนซีตไม่เสียประตูติดต่อกัน 11 เกมและไม่แพ้มา 30 เกมติดกันแล้ว รอบแบ่งกลุ่มยิงไปถึง 7 ประตู ส่วนออสเตรียรอบแบ่งกลุ่มฟอร์มก็ไม่ได้แย่ แต่มีปัญหาในแนวรุกอย่างมากบอลไปถึงปากประตู แต่ยิงทิ้งยิงขว้างกันหมดเจอกับทีมระดับเดียวกันสู้ได้สูสี แต่พอเจอกับทีมใหญ่อย่างเนเธอร์แลนด์โดนกดดันหนักๆหลังก็รั่วเหมือนกัน นี่เลยเป็นศึกระหว่างทีมใหญ่อย่างอิตาลี ที่ดูยังไงก็เปิดบ้านไล่บด ออสเตรีย เป็นแน่
ฟอร์มของ อิตาลี ในรอบแบ่งกลุ่ม (ชนะตุรกี 3-0) (ชนะสวิตเซอร์แลนด์ 3-0) (ชนะเวลส์ 1-0) มี 9 แต้มเข้ามาเป็นที่ 1 ของกลุ่ม A ไม่ต้องบอกเลยว่าอิตาลีชุดนี้แข็งแกร่งแค่ไหน ทั้งแนวรุก แนวรับ และแดนกลาง ทักษะความสามารถนักแตะสูงและเล่นเข้าขากันมาก กับนักแตะระดับสตาร์และมากความสามารถมารวมกันได้เพราะ โรแบร์โต้ มันชินี่ แม้ยุคนี้นักแตะอาจจะไม่ดังเท่ายุคก่อนๆ แต่พวกเขาคือหนึ่งในทีมที่ดูที่สุดตอนนี้ก็ว่าได้กับอันดับ 7 ของโลก
ฟอร์มของ ออสเตรีย ในรอบแบ่งกลุ่ม (ชนะมาซิโดเนีย 3-1) (แพ้เนเธอร์แลนด์ 2-0) (ชนะยูเครน 0-1) มี 6 แต้มเข้ามาเป็นที่ 2 ของกลุ่ม C นัดแรกเจอกับน้องเล่นได้ดีเป็นระบบแต่ มาซิโดเนีย ขุมกำลังและแผนเทคติกต่างๆด้อยกว่ามาก และนัดสองเจอทีมใหญ่ก็ต้านไม่ไหว นัดสุดท้ายชัดเจนเกือบเอาตัวไม่รอดทั้งมีโอกาสยิงมากมาย แนวรับเวลาโดนบดมากๆมีสมาธิหลุดเหมือนกันรั่วบ่อย
คู่ที่ 3 เนเธอร์แลนด์ พบ สาธารณรัฐ เช็ก วันที่ 27 มิถุนายน 2564 เวลา 23:00 น. คู่นี้ต้องยกให้เนเธอร์แลนด์แลนด์ อัศวินสีส้มที่เข้ารอบมาแบบสวยงาม ด้วยลีการการเล่นสไตล์บุกเข้าโจมตีจากทุกทิศทาง สามเกมในรอบแบ่งกลุ่มแสดงให้เห็นแล้วว่านี่คือหนึ่งในยอดทีมที่เล่น ทั้งลูกบนพื้นและกลางอากาศได้รวดเร็วยิงไป 8 ลูกเสียแค่สองประตูเท่านั้น ยิงได้นัดละไม่ต่ำกว่าสองลูกแนวรุกมี จอร์จินิโอ้ ไวต์นัลดุม รองดาวซัลโวรายการนี้ และ เมมฟิช ดีเพย์ และ เดนเซล ดรัมฟรีส์ เทียบกันแล้วเข็กพึ่งได้คนเดียวคือ ปาทริค ชิค แม้สถิติการพบกันของทั้งสองทีม ดูแล้วเนเธอร์แลนด์จะแย่กว่าแต่ฟอร์มเช็กตอนนี้บอกเลยว่าแย่ไม่แพ้กัน กับการเข้ามาเป็นหนึ่งในสี่ทีมที่ได้อันดับสามดีที่สุดจาก 6 กลุ่ม เช็กเองก็ไปอยู่สายแข็งด้วยเจอทั้งอังกฤษและโครเอเชีย รอบ 16 ทีมยังไงก็ก็ยกให้เนเธอร์แลนด์ คว้าชัยเหนือเช็กที่ฟอร์มดูแล้วสู้ไม่ได้เลย
ฟอร์มของ เนเธอร์แลนด์ ในรอบแบ่งกลุ่ม (ชนะยูเครน 3-2)(ชนะออสเตรีย 2-0)(ชนะมาซิโดเนีย 0-3) มี 9 แต้มเข้ามาเป็นที่ 1 ของกลุ่ม C ต้องยดความดีให้กับ จอร์จินิโอ้ ไวต์นัลดุม รองดาวซัลโวรายการนี้ และ เมมฟิช ดีเพย์ และ เดนเซล ดรัมฟ ที่ช่วยกันยิงรวมถึงทุกคนในทีม ที่เล่นได้แบบไม่เคยยอมแพ้ด้วยทัษะความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น ทั้งเกมรับและเกมรุก ทำให้เห็นว่าอัศวินสีส้มยังคงความขลังอยู่
ฟอร์มของ สาธารณรัฐ เช็ก ในรอบแบ่งกลุ่ม (ชนะสก็อตแลนด์ 0-2)(เสมอโครเอเชีย 1-1)(แพ้อังกฤษ 0-1) มี 4 แต้มเข้ามาเป็นที่ 3 ของกลุ่ม E ที่ทำผลงานได้ดีสุดในสี่ทีมจากหกกลุ่ม กับฟอร์มในรายการนี้ต้องบอกว่าถ้าไม่ได้ ปรทริค ชิค เป็นตัวทำสกอร์คงตกรอบแบ่กลุ่มเป็นแน่ เกมรุกขาดความน่ากลัวและเสียสมาธิในเกมสำคัญๆอย่างนัดสุดท้ายที่พบอังกฤษ ก็โดนตั้งแต่นาทีที่ 12 หลังจากนั้นก็พยายามจะเอาคืน มีโอกาสมากมายแต่ก็ยิงทิ้งยิงขว้างหากเป็นแบบนี้รอบ 16 คงจะยากแน่ๆ
คู่ที่ 4 เบลเยี่ยม พบ โปรตุเกส วันที่ 28 มิถุนายน 2564 เวลา 02:00 น. เกมนี้จะเป็นการดวลกันของยอดกอง คริสเตียนโด้ โรนัลโด้ และทีมที่มีแนวรุกและเกมรับที่สุดยอดมาก เบลเยี่ยมมี ลูกากู , อาร์ซา , โตกูว์ สามประสานในแดนหน้าที่คอยไล่ต้อนกองหลัง คุมหลังด้วยโทมัส แฟร์มาเลิน ทำให้เบลเยี่ยมแข้ารอบแบบไม่แพ้ใครเลยและเสียเพียงแค่ประตูเดียว ในขณะที่แนวรุกช่วยกันถลุงถึง 7 ประตูแม้จะมีสตาร์อยู่ในทีมหลายคน แต่พวกเขาเล่นกันเป็นทีมเวิร์กได้ดีมากมีวัย มีทักษะที่สูง เล่นตามระบบ ผิดกับโปรตุเกส ที่ตัวเดินเกมเกือบทั้งหมดคือ โรนัลโด้ จะมีก็ ดิอาโก้ โจตา และเปเป้ กลองลังจากปอร์โต่ที่ดูโดดเด่นขึ้นมาหน่อย ข้อดีของนักแตะโปรตุเกสคือมีทักษะเฉพาะตัวที่สูงและมีความเร็ว ในการเข้าทำในรอบแบ่งกลุ่มพวดเขาผ่านกลุ่มที่หินที่สุดมาได้ถือว่าแข็งพอสมควร เกมนี้มีเสมอในเวลาแน่นอนกับทั้งสองทีม คงต้องมาลุ้นช่วงต่อเวลา
ฟอร์มของ เบลเยี่ยม ในรอบแบ่งกลุ่ม (ชนะรัสเซัย 3-0)(ชนะเดนมาร์ก 1-2)(ชนะฟินแลนด์ 0-2) มี 9 แต้มเข้ามาเป็นที่ 1 ของกลุ่ม B ต้องบอกเลยว่าผลงานนี้มาจากทีมเวิร์กล้วนๆ แม้จะมีสตาร์หลายคนแต่ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือชาวเบลเยี่ยมคนนี้ก็จัดแผนทุกนัดได้อย่างลงตัว จากการที่เสียเพียงประตูเดียวทำให้เห็นแล้วว่า แนวรับของเบลเยี่ยมนั้นแข็งแกร่งแต่หลายคนก็สงสัยอยู่ว่าหากมา เจอทีมใหญ่ตัวเต็งหลายทีมจะเป็นเช่นไรรอบ 16 ทีมนัดแรกจะได้พิสูจน์กัน
ฟอร์มของ โปรตุเกส ในรอบแบ่งกลุ่ม (ชนะฮังการี 0-3)(แพ้เยอรมัน 2-4)(เสมอฝรั่งเศษ 2-2) มี 4 แต้มเข้ามาเป็นที่ 3 ของกลุ่ม F กับผลงานนี้ต้องบอกเลยว่านี่คือกรุ๊ปออฟเดดที่แท้จริง แต่โปรตุเกสก็สู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีและไม่ได้ด้วยกว่าทีมไดเลย เพียงแต่เยอรมันแกร่งกว่าก็เท่านั้น ดูได้จากที่โรนัลโด้ยิงระเบิดระเบ้อขึ้นนำเป็นดาวซัลโวสูงสุด แต่ก็ยังเข้าเป็นที่สามของกลุ่มกับรอบ 16 ทีมต้องไปเจองานหนักอย่างเบลเยี่ยม ถ้าเล่นถึงต่อเวลาโปรตุเกสอาจจะยังพอมีหวังก็ได้