ไฮไลท์หลังเกมการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลยูโร 2020
คู่แรกสุดมันการพบกันของ "อิตาลี" ลงฟาดแข็งกับ "สเปน" การโคจรมาพบกันของทีมเต็งทั้งคู่ อัชซูรี่ก็ได้ชื่อว่าเป็นทีมที่เกมรบดีที่สุดและเป็นอิตาลีในยุคใหม่ที่เล่นเกมรุกได้ดุดัน ทั้งสามประสานในแดนหน้าวิงค์แบ็คที่คอยเติมขึ้นลงตลอดเกม เล่นได้ทั้งริมเส้นและต่อบอกแดนกลางหากเทียบกับ กระทิงดุที่เป็นทีมที่ต่อบอลกันจากเท้าสู่เท้าได้แท่นยำมาก นักแตะทุกคนมีทักษะเฉพาะตัวที่สูง เฉียบคมและรวดเร็วในการเข้าทำประตู เกมนี้มาเตะกันที่สนามกลาง ที่เวมบลีย์ สเตเดี้ยม
เริ่มเกมกันที่ 02:00 เวลาไทย ผู้เล่นของทั้งสองทีมที่ลงตัวจริง
อิตาลี เฮดโค้ช โรแบร์โต้ มันชินี่ ใช้แผน(4-3-3) 11 ผู้เล่นตัวจริง GK จานลุยจิ ดอนนารุมม่า | DF โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, จอร์โจ้ คิเอลลินี่, เอแมร์ซอน ปัลมิเอรี่ (ราฟาเอล โตลอย น.74) | MF นิโคโล่ บาเรลล่า (มานูเอล โลคาเตลลี่ น.85), จอร์จินโญ่, มาร์โก แวร์รัตติ (มัตเตโอ เปสซิน่า น.74) | FW เฟเดริโก้ เคียซ่า (เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่ น.107), ชิโร่ อิมโมบิเล่ (โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ น.61), ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ (อันเดรีย เบล็อตติ น.85)
สเปน เฮดโค้ช ลุยส์ เอ็นริเก้ ใช้แผน (4-3-3) 11 ผู้เล่นตัวจริง GK อูไน ซิโมน | DF เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า (มาร์กอส ยอเรนเต้ น.85), เอริค การ์เซีย (เปา ตอร์เรส น.109), อายเมริค ลาปอร์กต์, จอร์ดี้ อัลบา | MF โกเก้ (โรดรี้ น.70), เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ (น.106), เปดรี้ | FW เฟร์ราน ตอร์เรส (อัลบาโร่ โมราต้า น.62), มิเกล โอยาร์ซาบัล (เคราร์ด โมเรโน่ น.70), ดานี่ โอลโม่
สปอร์ตบุ๊คสำหรับพนันบอลยูโร 2021
เริ่มเกม สเปน เขี่ยเปิดเกมบุกเข้าใส่อิตาลี ตั้งแต่ต้นเกมแต่ขุนพลอัซซูรี่ไม่หวั่นดักใว้ได้สบาย มีลูกสวนกลับตลอดเวลาทั้งสองทีมโต้กันไปมาแบบมีโอกาสทำประตู แต่เฉียดไปเฉียดมาในช่วง 10 นาทีแรกยังไม่มีสกอร์
เข้านาทีที่ 14 เฟร์ราน ตอร์เรส เก็บตกบอลจากกลากสนามลากเข้าไป ก่อนถึงกรอบเขตโทษโยกหลอก จอร์จินโญ่ จนขาตายกดเต็มข้อแต่บอลหลุดออกเสาไปนิดเดียว
นาทีที่ 25 ดอนนารุมม่า โชว์ความหนึบเซฟลูกยิงในกรอบเขตโทษของ โอลโม่ ที่ยิงจ่อๆหน้าปากประตู และก็เป็นสเปนที่ครองบอลได้มากกว่าและทำเกมเจาะตามช่องได้ดีกว่า
นาที 44 อินซินเญ่ รับบอลข้ามฝากจาก โบนุชชี่ ลากบอกเข้าเขตโทษ จ่ายตัดหลังไม่ล้ำหน้าให้ เอแมร์ซอน แบ็คซ้ายที่เติมขึ้นมาซัดเต็มข้อแต่ชนสามเหลี่ยม ไม่มีทีมไหนเปิดสกอร์ได้จบครึ่งแรกเสมอกัน 0-0 ไม่มีทดเวลา
เริ่มครึ่งหลังนาทีที่ 52 โอยาร์ซาบัล ขึ้นบอลกราบขวากระชากหลบกองหลัง จ่ายตัดให้ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ วิ่งเข้ามาซัดเต็มข้อบอลเหินข้ามคานออกไป
นาทีที่ 60 ดอนนารุมม่า ออกบอลเร็วหลังจากโดนสเปนบุก ให้ ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ สวนกลับจ่ายทะลุช่องกองหลังขึ้นหน้าให้ ชิโร่ อิมโมบิเล่ แต่จังหวะโดนสกัดเพราะ อายเมริค ลาปอร์กต์ ถึงก่อน แต่ก็สะกัดบอลมาเข้าทาง เฟเดริโก้ เคียซ่า แตะบอลหนึ่งจังหวะก่อนยิงด้วยขวาติดไซส์โค้ง ส่งบอลเข้าประตูไป อุไน ซิโมน ได้แต่ยืนขาตาย ทำให้ อิตาลี ออกนำ สเปน 1-0 หลัวจากนั้นสเปนก็บุกหนัก อิตาลีก็เล่นตามแผนตั้งรับแต่ก็พลาด
นาที 80 อัลบาโร่ โมราต้า ทำชิ่งบอลกับ ดานี่ โอลโม่ ก่อนเป็น อัลบาโร่ โมราต้า ที่ได้บอลหลุดเดี่ยวเข้ากรอบเขตโทษ ก่อนยิงผ่านมือของ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า เข้าประตูไป ช่วยให้ สเปน ตามตีเสมอ อิตาลี 1-1 แฟนสเปนเฮกันลั่นทั้งสองทีมก็เล่นกันจบเกม 90 นาทีที่ากอร์ 1-1 ต่อเวลายังเสมอกันต้องมาดวลจุดโทษ
อิตาลี ยิงจุดโทษแม่นกว่า สเปน เอาชนะไป 4-2 ทำให้อิตาลีผ่านเข้ารอบชิงหลังจากที่เคยได้แชมป์ยูโร ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1986 และยังรักษาสถิติไร้พ่ายต่อเป็นนัดที่ 33 ตั้งแต่ปี 2018-ปัจจุบัน อีกเพียงแค่สองเกมพวกเขาจะทำสถิติเท่าบลาซิลที่ 1 กาลไร้พ่ายมากสุด 35 นัด
อีกคู่สุดมัน อังกฤษ ลงดวลแข่งกับ เดนมาร์ก ก่อนเริ่มเกมอังกฤษยังไม่เสียประตูให้ใครในรายการนี้ นี่คือทีมที่ทุกสำนักยกให้เป็นเต็งหนึ่งในตอนนี้ และ แกเร็ธ เซาท์เกต ก็ก้าวข้ามผ่านฝันร้ายของตัวเองที่พลาดจุดโทษเมื่อ 25 ปีก่อน ทำทีมอังกฤษเข้าชิงได้ในปีนี้ สร้างทีมได้อย่างลงตัวในทุกตำแหน่งและไม่มีตัวเจ็บ ส่วนเดนมาร์กนี่คืออีกบทพิสูจน์ว่าทีมเวิร์กยังใช้ได้เสมอในกีฬานี้แม้ในทีมจะได้มีสตาร์ดังเหมือนอังกฤษ แต่พวกเขาก็เกือบจะได้สร้างเทพนิยายเดนส์อีกครั้งแล้ว คู่นี้แตะกันที่ สนามกลาง ที่เวมบลีย์ สเตเดี้ยม
อังกฤษ เฮดโค้ช แกเร็ธ เซาท์เกต ใช้แผน (4-2-3-1) 11 ผู้เล่นตัวจริง GK จอร์แดน พิคฟอร์ด | DF ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์ | MF คัลวิน ฟิลลิปส์, ดีแคลน ไรซ์ (จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น.95) บูคาโย่ ซาก้า (แจ็ค กรีลิช น.69) (คีแรน ทริปเปียร์ น.116), เมสัน เม้าน์ท (ฟิล โฟเด้น น.95), ราฮีม สเตอร์ลิง | FW แฮร์รี่ เคน
เดนมาร์ก เฮดโค้ช แคสเปอร์ ยูลมันต์ ใช้แผน (3-4-3) 11 ผู้เล่นตัวจริง GK แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล | DF อันเดรียส คริสเตนเซ่น (โยอาคิม อันเดอร์เซ่น น.79), ซิมง เคียร์, ยานนิค เวสเตอร์การ์ด | MF เยนส์ สตรีเกอร์ ลาร์เซ่น (ดาเนี่ยล วาส น.67), ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก, โธมัส เดอลานี่ย์, โยอาคิม เมห์เล่ | FW มาร์ติน เบรธเวท, คาสเปอร์ โดลเบิร์ก (คริสเตียน นอร์การ์ด น.67), มิคเคล ดัมส์การ์ด (ยุสซุฟ โพลเซ่น น.67)
เริ่มเกม ช่วง 10 นาทีแรกยังไม่เปิดเกมบุกกันมากเท่าไหร่ดูเชิงกันอยู่ ทั้งสองทีมอยังไม่มีโอกาสจบสกอร์ได้
เข้านาทีที่ 13 แฮร์รี่ เคน ได้บอลหน้ากรอบเขตโทษ ก่อนจ่ายออกด้านว้ายให้ ราฮีม สเตอร์ลิง ล็อกบอลตัดเข้าในดวลเดี่ยวกับ คริสเตนเซ่น ได้สับไกแต่บอลมันบดไปหน่อยพุ่งไปตรงตัวของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล รับบอลเอาไว้ได้
เดนมาร์ก สู้ได้สูสีแต่ก็ยังไม่มีโกาสจบสกอร์ นาทีที่ 25 ได้จังหวะสวนกลับ บอลเลยมาเข้าทาง มิคเคล ดัมส์การ์ด ได้จังหวะพาบอลเข้ากรอบเขตโทษ ก่อนตัดสินใจยิงแต่บอลหลุดเสาออกหลังไป
นาทีที่ 30 เดนมาร์ก ก็มาประสบความสำเร็จทำให้อังกฤษเสียประตูแรกในรายการนี้ เพราะได้ฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษ ก่อนเป็น มิคเคล ดัมส์การ์ด ปั่นด้วยขวาข้ามกำแพงก่อนมุดผ่านมือของ จอร์แดน พิคฟอร์ด ตุงตาข่าย ช่วยให้ เดนมาร์ก ออกนำ อังกฤษ 1-0
นาทีที่ 39 อังกฤษไล่กดดันไม่ยอมแพ้ บูคาโย่ ซาก้า ที่รับบอลจากการจ่ายทะลุช่องของ แฮร์รี่ เคน กระชากบอลฝั่งขวาเข้าเขตโทษจ่ายผ่านเข้ากลางแล้วเป็น ซิมง เคียร์ ที่สะกัดบอลพลาดเข้าประตูตัวเอง ทำให้ อังกฤษ ตามตีเสมอ เดนมาร์ก 1-1 จนจบครึ่งแรก
ครึ่งหลังเริ่มเตะกันไปจนนาทีที่นาทีที่ 55 อังกฤษ ได้ฟรีคิก เมสัน เม้าน์ท เปิดบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษ แม็กไกวร์ กระโดดโหม่งเต็มๆ บอลพุ่งจะเสียบเสา แต่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล พุ่งปัดบอลออกมาได้
นาทีที่ 72 เมสัน เม้าน์ท ได้บอลขึ้นมาทางฝั่งขวา ก่อนกึ่งกึ่งเปิดเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนเป็น แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ที่ปัดบอลข้ามคานออกหลังไป หมด 90 นาทียังเสมอกันอยู่
ค่อเวลานาทีที่ 101 ราฮีม สเตอร์ลิง เลี้ยงบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษ ก่อนโดน โยอาคิม เมห์เล่ สะกัดล้มลงในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษ ทันที ก่อนที่ วีเออาร์ ก็ยืนยันเป็นจุดโทษ แฮร์รี่ เคน รับหน้าที่สังหารแต่ติดเซฟของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล แต่บอลกลับมาเข้าทาง แฮร์รี่ เคน อีกครั้งยิงซ้ำเข้าไป อังกฤษ ออกนำ เดนมาร์ก 2-1 และก็บู๊กันที่สกอร์นี้จนครบ 120 นาที อังกฤษ ได้เข้ารอบไปชิงกับ อิตาลี
นี่จะเป็นการเข้าชิงครั้งแรกของอังกฤษในรายการเมเจอร์ รายการใหญ่สุดที่เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1966 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ และคว้าแชมป์เไปครองได้ ซึ่งรวมแล้วกว่า 55 ปีนี่จะเป็นการเข้าชิงชนะเลิศที่จะสร้างประวัติศาสตรบทใหม่ของอังกฤษในยุคนี้