การเดิมพันแบบ KO และ TKO ในมวย: ความแตกต่าง ความนิยม และนักมวยที่น่าสนใจ

ความแตกต่างระหว่าง KO และ TKO

งั้นสิ่งแรกที่คุณต้องเข้าใจคือการที่รู้ว่า อะไรคือ KO และ อะไรคือ TKO ในกีฬามวยและเป็นแบบไหน มาเริ่มกันเลย

1. KO (Knockout) – น็อกเอาต์
   • เกิดขึ้นเมื่อนักมวยคนหนึ่งถูกชกจนล้มลงและไม่สามารถลุกขึ้นมาภายใน 10 วินาทีตามที่กรรมการนับได้
   • นักมวยจะถือว่าแพ้แบบ KO หากไม่สามารถตอบสนองต่อการนับของกรรมการ
2. TKO (Technical Knockout) – น็อกทางเทคนิค
   • เกิดขึ้นเมื่อนักมวยยังยืนอยู่ แต่กรรมการตัดสินว่าไม่สามารถสู้ต่อได้อย่างปลอดภัย
   • อาจเกิดจากการที่นักมวยได้รับบาดเจ็บหนัก หรือถูกชกจนเสียการทรงตัวหลายครั้งติดต่อกัน
   • มุมของนักมวย (เทรนเนอร์) สามารถโยนผ้าขาวเพื่อขอยุติการแข่งขันได้ ซึ่งถือเป็น TKO
   • กรรมการสั่งหยุดการแข่ง เนื่องชกไม่สมศักดิ์ศรีหรือล้มมวย

ทำไมการเดิมพันแบบ KO และ TKO ถึงได้รับความนิยม

การเดิมพันในลักษณะนี้ได้รับความนิยมสูง และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้

• โอกาสทำกำไรสูง
  การเดิมพันแบบนี้ ราคาต่อรองของ KO และ TKO มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการเดิมพันแบบชนะคะแนน เพราะมีความเสี่ยงสูงกว่า
• ตื่นเต้นและเร้าใจ
  กีฬามวยการน็อกเป็นจุดไคลแมกซ์ของการแข่งขัน มากกว่าการชนะคะแนนเสียอีก ทำให้การเดิมพันแบบนี้เป็นที่ชื่นชอบของแฟนมวยที่ต้องการลุ้นผลลัพธ์แบบดุเดือด
• ใช้สถิติในการวิเคราะห์ได้
  นักเดิมพันสามารถศึกษาสถิติการชกของนักมวย เช่น อัตราการชนะโดย KO หรือ TKO เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ประเภทของการเดิมพัน KO/TKO

การเดิมพันแบบนี้นอกจากการเดิมพันว่าใครจะชนะด้วย KO/TKO แล้ว ยังมีการเดิมพันอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น

• ยกที่คาดว่าจะมีการน็อก การเดิมพันว่าการน็อกจะเกิดขึ้นในยกไหนของการแข่งขัน
• จำนวนครั้งที่นักมวยจะถูกน็อก การเดิมพันว่านักมวยแต่ละคนจะถูกน็อกกี่ครั้ง
• วิธีการน็อก กสนเดิมพันว่าการน็อกจะเกิดขึ้นด้วยหมัดแบบไหน (เช่น หมัดขวา, หมัดซ้าย, อัปเปอร์คัต)

นักมวยที่ได้รับความนิยมในการเดิมพันแบบ KO และ TKO

นักมวยที่มีพลังหมัดหนักและสไตล์การชกที่เน้นการน็อกมักเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการเดิมพันประเภทนี้ ตัวอย่างเช่น

1. ไมค์ ไทสัน (Mike Tyson)

• มีอัตราการชนะน็อกสูงมากกว่า 75% ของไฟต์ทั้งหมด
• หมัดหนัก รุนแรง และสามารถปิดเกมได้ในยกต้น ๆ
• เป็นหนึ่งในนักมวยที่นักเดิมพันนิยมเดิมพัน KO มากที่สุด

2. เดออนเทย์ ไวล์เดอร์ (Deontay Wilder)

• ฉายา "The Bronze Bomber" มีหมัดขวาที่อันตรายที่สุดในวงการมวย
• ชนะน็อกมากกว่า 90% ของไฟต์ทั้งหมด

3. กันเนโล อัลวาเรซ (Canelo Alvarez)

• นักมวยที่มีสไตล์การชกที่แม่นยำและอันตราย
• มีความสามารถในการน็อกคู่ต่อสู้ได้แม้เจอคู่ชกที่แข็งแกร่ง

4. ฟรานซิส เอ็นกานู (Francis Ngannou)

• แม้จะเป็นนักสู้ MMA แต่ปัจจุบันเริ่มเข้าสู่สังเวียนมวยสากล
• มีพลังหมัดที่หนักมาก และสามารถชนะ KO คู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว

กลยุทธ์การเดิมพันแบบ KO และ TKO

มาดูกันว่าหากคุณต้องการจะเดิมพันแบบ KO และ TKO นี้ ต้องใช้กลยุทธ์ไดบ้าง เพื่อโอกาสในการชนะเดิมพันที่มากขึ้น

1. วิเคราะห์สถิติการชก – ตรวจสอบว่านักมวยมีอัตราการชนะน็อกสูงแค่ไหน และใช้หมัดอะไรเป็นอาวุธหลัก
2. ศึกษาคู่ต่อสู้ – หากคู่ต่อสู้มีแนวโน้มแพ้น็อกง่าย เช่น มีสถิติแพ้ KO หลายครั้ง อาจเป็นโอกาสที่ดีในการเดิมพัน
3. ติดตามรูปแบบการชก – นักมวยบางคนอาจไม่เน้นการน็อก แต่หากเจอคู่ชกที่อ่อนแอกว่า ก็อาจใช้พลังหมัดเพื่อปิดเกมเร็ว
4. เช็คฟอร์มปัจจุบัน – นักมวยที่เพิ่งชนะน็อกบ่อยครั้งมักมีแนวโน้มทำแบบเดิมได้อีก
5. ดูราคาต่อรอง – บางครั้งนักมวยที่มีโอกาสน็อกสูงอาจมีราคาต่อรองที่คุ้มค่า

ข้อควรระวังในการเดิมพัน KO/TKO

การเดิมพันประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นจึงควรระมัดระวัง 
ความผันผวนของราคาต่อรอง ซึ่งราคาต่อรองอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
การบาดเจ็บของนักมวย นักมวยอาจได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถชกต่อได้
การล็อคผลการแข่งขัน อาจมีการล็อคผลการแข่งขัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเดิมพัน

สรุป

การเดิมพันแบบ KO และ TKO เป็นหนึ่งในรูปแบบการเดิมพันที่ตื่นเต้นและให้ผลตอบแทนสูง นักเดิมพันควรศึกษาสถิติและวิเคราะห์รูปแบบการชกของนักมวยก่อนเดิมพัน นักชกที่มีชื่อเสียงด้านการชนะน็อก เช่น ไมค์ ไทสัน, เดออนเทย์ ไวล์เดอร์ และ กันเนโล อัลวาเรซ มักเป็นตัวเลือกยอดนิยมในการเดิมพันประเภทนี้

หากคุณชอบการเดิมพันที่ให้ความตื่นเต้นและโอกาสทำกำไรสูง การเดิมพันแบบ KO และ TKO อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคุณ! 🥊🔥